เทศน์เช้า วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
วันนี้วันปีใหม่ เขาให้พรกันน่ะ เขาส่ง ส.ค.ส. ส่งความสุข ปรารถนาดีต่อกัน ทางโลกเขาปรารถนาความสุข ปรารถนาดีต่อกัน อยากให้ทุกคนมีความสุข ความปรารถนาดีต่อกัน การส่งความสุขให้กันมันเป็นเรื่องโลกนะ มันเป็นเรื่องของความปรารถนาดี เป็นเจตนาที่ดีสิ่งที่ดี แต่ความสุขจริงๆ เราทำไมไม่เห็นตัวเราล่ะ?
เราส่งความสุขให้คนอื่นได้ คนอื่นส่งความสุขให้เราได้ ส่งของขวัญให้เราได้ ปลอบใจเราได้ แต่เราไม่เคยส่งของความดีให้เราเลย ถ้าเราจะส่งของขวัญให้เราเอง เห็นไหม เราส่งของขวัญให้เราเอง เราจะต้องมีความร่มเย็นเป็นสุขในใจของเรา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนนะ ถ้าเรื่องของโลก เห็นไหม เรื่องการช่วยเหลือเจือจานกัน เรื่องสังคม มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ศีลธรรม จริยธรรม ทำให้สังคมมีความร่มเย็นเป็นสุขนะ เพราะมีการเสียสละ ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน
เหมือนดอกไม้ เห็นไหม ถ้ามีพวงมาลัยน่ะ มีเชือกร้อยเป็นพวงดอกไม้ กฎกติกาน่ะ เขามีกันเพื่อความร่มเย็นเป็นสุข มันรอนสิทธิ์บ้างเพื่อความเป็นอยู่ของสังคมนะ ยิ่งเรื่องของสังคม เรื่องของโลก เห็นไหม ส่งความสุขให้กัน สิ่งที่ส่งกันคือเสียสละกัน จิตใจเป็นสาธารณะ นี่เป็นเรื่องของโลก แต่มันก็มีศีลธรรมจริยธรรม
เรื่องของธรรม! เรื่องของธรรม เห็นไหม อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ต้องตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนะ ดูสิ! ไฟไหม้บ้านเรือนอยู่ เวลาเขาไปดับไฟ เขาต้องเลี้ยงไว้ เขาฉีดไว้ไปข้างนอก นี่เหมือนกัน ถ้าในหัวใจของเราไม่เป็นสุข ใครจะส่งความสุขมาให้ เขาก็ปลอบประโลมเราจากข้างนอกไง ถ้าความสุขของเราจะเกิดขึ้นมา เห็นไหม สัมมาทิฏฐิ ความเห็นที่ถูกต้อง ความเห็นที่ดีงาม
ถ้าความเห็นของกิเลสมันก็ต้อง.. ปัจจัยเครื่องอาศัยคนเราต้องมีต้องใช้ มันเป็นเรื่องธรรมดา สิ่งที่หน้าที่การงานมันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ตัณหาความทะยานอยากมันไม่พอ ไอ้ตรงที่มันไม่พอนี่มันทุกข์ เห็นไหม สิ่งที่มันไม่พอนี่
ถ้าเรามีปัญญาชอบ มันมีสัมมาทิฏฐิ...ความเห็นชอบ มันจะย้อนกลับมาที่นี่ ย้อนกลับมา หน้าที่การงานเราก็ทำ แล้วใจเราก็มีความสุข เรามีความสุขนะ เราพอประมาณของเรา เราเดินสายกลาง สายกลางเห็นไหม สายกลางคือว่าสายกลางมันต้องแบ่งแยกได้ สายกลางว่าอะไรควรไม่ควร ไม่ใช่สายกลางแบบสายกลางไม่รู้สิ่งใดๆ เลย สายกลางไม่รับผิดชอบอะไรเลย สายกลางอย่างนั้นใช้ไม่ได้ สายกลางอย่างนั้นมันไม่รู้ไง ไม่รู้แล้วอ้างว่าสายกลาง
แต่ถ้าว่าความสายกลางของเรา เห็นไหม ถ้ามันดำริชอบ หน้าที่การงานมันขยันหมั่นเพียรนะ ขยันหมั่นเพียรเพราะอะไร เพราะมันทำด้วยหัวใจไง ถ้าหัวใจปรารถนา หัวใจมีความสุขของเรานี่ เราทำงานด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ถ้ามันทำด้วยการบังคับ ทำด้วยความที่เราไม่เข้าใจนะ ทำไปยังไม่รู้เป้าหมายมันคืออะไรเลย ชีวิตนี้คืออะไร
ชีวิตนี้คือพลังงาน คือตัวจิตวิญญาณของเรานะ แล้วจิตวิญญาณมันต้องการอะไร มันต้องการศีลธรรม ต้องการธรรมะ ต้องการความเข้าใจของมัน แต่ถ้ามันศีลธรรม เห็นไหม แต่ร่างกายมันต้องการอะไร ร่างกายมันก็ต้องการปัจจัยอาศัย ปัจจัยอาศัยมันพออยู่ได้ ถ้าคนเราเจือจานกันได้ เห็นไหม ดูสิ อย่างทางโลก รัฐสวัสดิการน่ะ เขาเจือจานกันได้ สิ่งที่เจือจานกันได้นี่ เราช่วยเหลือเจือจานกันได้
แต่หัวใจเวลามันทุกข์นะ ปลอบเท่าไหร่มันก็ไม่ได้ เพราะอะไร เพราะคนไม่เคยภาวนาจะไม่เข้าใจหรอก เวลาเราเข้าใจผิด เรามีความเห็นผิด ความเห็นผิดนี่ ขนาดเราภาวนาอยู่นะ สิ่งที่เห็น เห็นจริงไหม เห็นจริง.. แต่ความเห็นนั้นจริงไหม มันไม่จริง เพราะอะไร เพราะมันไม่เป็นความจริง ไม่เป็นสัจธรรม มันเกิดจากอะไร เกิดจากกิเลสตัณหา เกิดจากอุปกิเลส เกิดจากความเห็นของเรา เกิดจากจิตมันสงบเข้าไปแล้วมันรู้มันเห็นของมัน
สิ่งที่รู้เห็นเป็นจริงไหม จริง.. แต่สิ่งที่รู้เห็นนั้นจริงไหม จริง.. แต่มันเป็นความจริงไหม ไม่จริง.. เราเห็นเรารู้จริงๆ แต่มันเห็นเพราะเรา เห็นไหม แล้วพอเห็นเพราะเรานี่มันติด แล้วครูบาอาจารย์จะแก้อย่างไร ครูบาอาจารย์จะแก้อย่างไร?
เหมือนลูกเราเลย ลูกเราเวลาเลี้ยงขึ้นมาน่ะ ตามวัยของเขา เขาจะรู้ของเขาอย่างนี้ ตามวัยของเขา พอโตขึ้นมานะ โดยวุฒิภาวะของเขา ถ้ามันเป็นตามธรรมชาติ เขาจะรู้ของเขาว่า มันควรทำอย่างไร ไม่ควรทำอย่างไร เวลาเด็กๆ มันไร้เดียงสา มันน่ารักน่าเอ็นดูนะ
แต่ผู้ใหญ่ไร้เดียงสาไม่ได้ ผู้ใหญ่ต้องมีปัญญา ผู้ใหญ่ต้องมีจุดยืนของเรา เราจะไร้เดียงสาอยู่กับโลกเขาได้อย่างไร เราต้องมีปัญญาของเราใช่ไหม แต่เด็กๆ มันไร้เดียงสานี่ มันเลี้ยงง่าย มันน่ารักนะ เห็นไหม ด้วยวัยของมัน วัยของมัน มันก็สมควรของมันใช่ไหม เราโตขึ้นมา เราจะมีปัญญาของเราไหม เราจะแยกแยะว่าตั้งเป้าชีวิต ชีวิตเราจะเอาอะไร ชีวิตเรานี้ เราจะเอาอะไร?
ถ้าชีวิตเรายังอยู่กับสังคม เราก็ต้องอยู่กับเขา เราอยู่กับเขาหน้าที่การงานเราก็ทำกับเขา พอทำกับเขานี่ มันก็มีเป็นเวรเป็นกรรมนะ นี่บุญกุศลขับส่งมา มันบุญกุศลขับส่งมาน่ะ
สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดคือเราเกิดมาแล้ว เรามีชีวิตแล้ว เรามีลมหายใจแล้ว เรามีสุขมีทุกข์แล้ว อันนี้มีคุณค่าที่สุด สมบัติของเราคือชีวิตเรานี่มีค่าที่สุด แล้วสิ่งที่แสวงหา มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย มันเป็นสมบัติรอง มันเป็นสิ่งที่ปัจจัยเครื่องอาศัย เราอย่าไปซีเรียสกับมัน เราทำได้เท่าไหนเอาเท่านั้น ไม่ต้องไปซีเรียสกับมัน เพราะอะไร
เพราะชีวิตเรามีคุณค่ากว่านะ แล้วชีวิตมีคุณค่ากว่าแต่มันต้องใช้ต้องจ่าย ชีวิตมันต้องมีต้องใช้ไปแล้วมันไม่มี มันไม่มีนะ เราก็ใช้พอความจำเป็น เราลดทอนของเราได้ แล้วสิ่งต่างๆ นี่ ถึงที่สุดมันมีทางออกได้
แต่ถ้าหัวใจมันบีบคั้นน่ะ มันไม่มีทางออก ยิ่งเหยียบตัวเอง เห็นไหม อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนต้องยกตนขึ้นสิ อย่าเอาความคิดเหยียบตนลงสิ สิ่งที่มีค่าคือหัวใจ คือชีวิตนี่ แล้วเราเอาทิฏฐิมานะ เอาความเห็นผิด ความต้องการแรงปรารถนากับสังคมโลกนะ
เวลา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ เห็นไหม สิ่งที่ท่านพึ่งตนเองได้ ดูสิสังคม เราดูสังคมที่มันพึ่งพาตนเองได้น่ะ มันจะไม่ต้องพึ่งพาอาศัยข้างนอกมากอย่างเกินไปนัก จิตใจที่มันพึ่งพาอาศัยตนเองได้ เห็นไหม มันพึ่งพาอาศัยตนเองได้น่ะ กิเลสมันไม่เหยียบจนเราทุกข์ของเรา ไอ้เรื่องที่ความพร่องอยู่นี่เป็นเรื่องธรรมดา
ดูสิ ร่างกายนี่มันก็เป็นอนิจจัง มันก็แปรสภาพเป็นธรรมดา สิ่งที่ธรรมดาใช่ไหม ถ้าเรามีหัวใจที่ดี หัวใจที่เข้าใจ ทุกข์ก็เป็นอย่างนี้ ดูสิ เวลาเราเป็นพ่อแม่ แล้วลูกเรานี่ เราปกป้องดูแลลูกเรา เรารู้เลยว่าลูกเรามันไร้เดียงสา ลูกเรามันจะโตขึ้นมาในสังคม แล้วพ่อแม่คิดอย่างไร
ธรรมะก็เหมือนกัน สิ่งที่เวลามันมีกิเลสขึ้นมา สิ่งที่ใจครูบาอาจารย์ของเรานี่ มันเห็นใจของเราน่ะ มันเหมือนไร้เดียงสา มันไม่รู้อะไรเลย มันทุรัง มันดันของมันไป มันว่ามันดันตามแรงปรารถนาไป แล้วครูบาอาจารย์จะค่อยๆ ประคองไป
แต่พอไปเป็นสันทิฏฐิโก คือมันเป็นปัจจัตตัง พอจิตมันสัมผัส มันรู้เข้าๆ มันจะซึ้งใจครูบาอาจารย์มากนะ มันจะซึ้งใจครูบาอาจารย์มากเพราะอะไร เพราะมันยังพึ่งพาตนเองไม่ได้ พอมันยังพึ่งพาตัวเองไม่ได้ มันก็อาศัยพึ่งพาครูบาอาจารย์ไปก่อน เห็นไหม
เวลาเราพระบวชใหม่นี่ เราบวชมาแล้ว เห็นไหม ธรรมวินัยเป็นศาสดาของเรา เราจะพึ่งพาธรรมและวินัย พึ่งพาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปก่อน แต่พอเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สมาธิก็เป็นของเรา สติก็เป็นของเรา ปัญญาก็เป็นของเรา มันเป็นของเราขึ้นมา มันถึงชำระกิเลสของเราขึ้นมาได้ มันเป็นธรรมะส่วนบุคคล มันเป็นเรื่องของภายใน มันเป็นเรื่องของความรู้สึกที่ว่าสิ่งนี้มีคุณค่า
สิ่งที่เป็นสมบัติของเราคือชีวิตเรานี่มีสมบัติมาก ความเป็นสมบัติ แล้วสิ่งที่แสวงหามามันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย ในการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา พอใจมันมีสมบัติขึ้นมา มันเข้าใจของมันนะ สมบัติของมันคืออะไร สมบัติคือมันอิ่มเต็ม มันสุขนะ
ดูสิ เวลาเราพอใจ เราเข้าใจแล้วมันโล่งอก เห็นไหม มันโล่ง มันพอใจ แต่ถ้ามันคิดไม่ได้นะ มันเครียด มันเหยียบหัวใจน่ะ มันเครียดไปหมดเลย โลกจะกว้างขนาดไหนแต่หัวใจเรามันคับแคบ หัวใจเรามันทุกข์ แต่พอเวลามันเข้าใจแล้วนะ โลกจะแคบขนาดไหน หัวใจมันกว้าง เห็นไหม มันเข้าใจ มันปล่อยวาง มันปล่อยวางหมด
นี่ปีใหม่ เห็นไหม เขาให้ส่งความสุขให้กัน เราจะต้องส่งความสุขให้ใจของเรา เราต้องตั้งใจของเรา เราต่างหากเราจะส่งความสุขให้เราได้ เราต่างหากเราจะเข้าใจชีวิตเราได้ เราต่างหากเป็นคนคิดนะ เราต่างหากเป็นคนเข้าใจผิดเอง แล้วเราก็ทำลายใจเราเองนะ
ถ้าเราไม่ทำลายใจของเราเอง เห็นไหม เราทำบุญกุศลกัน เราเสียสละเพื่อความสบายใจของเรา แล้วปีใหม่เราก็ตั้งต้นชีวิต สิ่งที่มันผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป สิ่งที่เป็นประโยชน์มาจากปีเก่า เราก็ต่อเนื่องไป ทำของเราไป ชีวิตมีเท่านี้ เราจะแสวงหามาขนาดไหนนะ มันก็เพื่อความเป็นอยู่ในชีวิตนี้ แต่บุญกุศลนะ มันไปกับหัวใจนะ
ดูสิ เราเสียสละออกมา ข้าวปลาอาหารเรามาเสียสละออกไป เราสละ เราทำบุญกุศลของเรา ทำบุญกุศลใครเป็นคนทำ? ถ้าหัวใจมันไม่คิด จะมาได้ไหม? ถ้าไม่มีความคิดมันจะมาได้อย่างไร? มันต้องมีหัวใจ ต้องมีความคิด มีแรงปรารถนา มีเจตนา สิ่งที่เสียสละไปแล้วนะ สิ่งที่เสียสละไปแล้วเป็นของเราหมดเลย เป็นสมบัติตรงไหน?
เราได้สละออกไปจากมือเรานะ สิ่งที่เสียสละออกไปนั้นมันเป็นวัตถุ มันเป็นการแสดงออกของน้ำใจ น้ำใจที่มันได้แสดงออก เห็นไหม ความตระหนี่ถี่เหนียว ความขัดใจ ความต่างๆ ที่มันซับใจ มันเปิดออกไป เปิดออกไปพร้อมกับอาหารนั้น เปิดออกไปทั้งที่เราเสียสละนั้น พอใจมันเปิด มันโล่งมันโถง นี่อุทิศส่วนกุศล กุศลคืออะไร กุศลคือจิตที่มีความสุขไง เรามีความสุข เรามีความพอใจ อุทิศความพอใจ ใจถึงใจไง
เวลาเราเกิดเราตาย จิตนี้ออกจากร่างไป มันก็ไปวนในวัฏฏะ แล้วมันไม่มีโอกาสจะทำ เวลาเขามาขอส่วนบุญกันน่ะ เขาไม่มีโอกาส เขายืนดูอยู่ เขาไม่มีโอกาส ทำไมเทวดา อินทร์ พรหม ต้องมาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าล่ะ? ทำไมต้องมาฟังเทศน์มนุษย์ล่ะ? ทำไมต้องมาฟังเทศน์ครูบาอาจารย์ของเราล่ะ?
สิ่งนี้ก็เหมือนกัน เขาดูเราทำอยู่ เราเสียสละแล้วนี่ เราอุทิศส่วนกุศลให้เขา อุทิศส่วนกุศลให้จิตวิญญาณทั้งหมดที่เขาต้องการปรารถนา เห็นไหม เวลาอุทิศส่วนกุศลน่ะ อุปัชฌาย์ครูบาอาจารย์พ่อแม่ปู่ย่าตายาย เห็นไหม อุทิศส่วนกุศลออกไป อุทิศที่ไหน วัตถุมันอุทิศไม่ได้ มันต้องใช้หัวใจเป็นผู้อุทิศ เวลาเราสร้างกุศลแล้วครูบาอาจารย์ให้พรน่ะ อุทิศส่วนกุศลเพื่อบุญกุศล เพื่อจิตใจของเรา ใครจะเชื่อไม่เชื่อ ใครจะเห็นไม่เห็นน่ะ มันความรู้สึกของเรามีนะ จิตใจของเรามี สุขทุกข์เรามี
เวลาผีไม่มี ผีไม่มี.. ผีไม่มีทำไมเรากลัวผี? ผีไม่มีทำไมเรามีความรู้สึก? ผีคือจิตวิญญาณที่ออกจากร่างไปน่ะ ถ้ามันดีมันก็เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันเป็นผีเป็นสาง มันเป็นของมันได้ทั้งนั้นน่ะ แล้วเรารู้ไหม?
แต่ปัจจุบันนี้ บุญพาเกิดให้มาเป็นมนุษย์ แล้วพบพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.. ศาสดาของเรานี่เป็นพระอรหันต์ เข้าใจในวัฏฏะ เห็นไหม กามภพ รูปภพ อรูปภพ วัฏฏะนี่สว่างหมด เห็นหมด รู้หมด เข้าใจหมด มันมีอยู่มาดั้งเดิม พระพุทธเจ้าไม่ได้สร้างขึ้น ครูบาอาจารย์เราไม่ได้สร้างขึ้น
ดูสิ แผ่นดินนี้ใครไปสร้างขึ้นมา มันเป็นธรรมชาติของมันใช่ไหม นี่วัฏฏะมันมีของมันอยู่อย่างนั้น แต่ผู้ที่มารู้มาเห็น แล้วให้เราหลบหลีกไง สิ่งที่เป็นดีกับเรา เราก็ต้องทำเพื่อปรารถนาสิ่งนั้น แต่ถ้าสิ่งที่ไม่ดี เราก็หลบหลีก มันไม่มีใครทำลายตรงนั้นได้
ถ้าใครทำลายนรก สวรรค์ได้ เขาทำไปแล้ว ไม่ต้องการให้พวกเราไปทุกข์ไปยาก มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นสถานที่ มันเป็นมิติที่จิตที่ต้องไปพัก เวลาเราเปลี่ยน ดูสิ เรามาที่นี่ เราต้องกลับบ้าน เรามีที่อยู่ของเรา จิตปฏิสนธิมันต้องเกิดตลอดของมันไป มันไม่มีวันที่สิ้นจบ ไม่มีวันเว้นวรรค ไม่มีวันจบหรอก
แต่ถ้ามันเป็นความดี เราเชื่อศาสดา เชื่อครูบาอาจารย์ ทำดี เห็นไหม เราเชื่อในปัจจุบัน ทำดีแล้วผลจะตอบสิ่งที่ดี ทำเพื่อเรา ใครทำเพื่อนี่.. เวลาเสียสละไป เราไม่ได้อะไรเลย ได้สิ! ได้ที่หัวใจนี่ ได้ที่บารมีธรรมมันจะเกิด มันจะวิวัฒนาการของมัน มันจะทำของมัน มันจะเข้าใจของมัน
พอเข้าใจของมันนะ จิตเราก็ร่มเย็นเป็นสุข จิตเราก็อบอุ่น พอจิตเราอบอุ่น การทำหน้าที่การงานมันไปเอง ถ้าหัวใจมันดี อย่างอื่นดีไปหมดเลย แต่นี่พอจิตใจมันคับแคบ มันจนตรอกอยู่ในหัวใจ แล้วก็ทำงานไปๆๆ ไอ้ข้างในมันทุกข์
นี่ของขวัญของเราให้ที่นี่ ให้หัวใจของเรา ให้ชีวิตของเรา ให้มีความร่มเย็นเป็นสุข นี่พรปีใหม่นะ ตั้งใจทำเพื่อเรา ใครจะว่าอย่างไรมันเรื่องของเขา เสียงติฉินนินทานะ ใครจะว่าเราดีเราชั่วนั้นปากคน ไอ้ดีชั่วมันชั่วที่ใจเรา! เรารู้เอง ใครจะดี ใครจะพูด อย่าไปฟัง
โลกธรรม ๘ เสียงนินทากาเลน่ะมันทะลุหู เราทุกข์นะ ถ้าเราไปฟังเขาว่าเขาดีเขาชั่ว เราจะไปเต้นตามเขา เขาให้จังหวะแล้วเราเต้นตามเขา เราบ้าหรือเขาบ้า แต่ถ้าหัวใจเราดีแล้วเรารู้เอง เขาจะว่าอย่างไร ใครจะว่าอย่างไร เรื่องของเขา! เราทำดีของเรา เรามีหลักมีเกณฑ์ มีศาสดา มีครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่งแล้วทำดีของเรา นี่จะเป็นประโยชน์ของเรานะ เอวัง